คนไทยรับประทานน้ำตาล เข้าขั้นวิกฤต จากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นมาก เฉลี่ยคนละ ๒๙.๐๕ กก.ต่อปี หรือวันละเกือบ ๑๘ ช้อนชา ขณะที่ค่าเฉลี่ยการบริโภคน้ำตาลทั่วโลก อยู่ที่คนละ ๑๑ ช้อนชา ดังนั้น การกินอาหาร รสหวาน ทำให้ได้รับพลังงานล้นเกินเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้เป็น “โรคอ้วน” เพิ่มความเสี่ยง ต่อการเจ็บป่วย เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง ไขมันในเลือดสูง
น้ำตาลเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อร่างกาย?
น้ำตาลเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกาย…ร่างกายเราจะขาดน้ำตาล ไม่ได้เลย ถ้าเราขาดน้ำตาลในกระแสเลือดสมองจะหยุดทำงานทันที เราจะตายในเวลาไม่นาน ร่างกายเราจะต้องคงระดับน้ำตาลในกระแสเลือดไว้ในระดับที่เหมาะสม
ระดับน้ำตาลขั้นต่ำ…ต้องไม่ต่ำกว่า…70 มก./ดล.
ระดับน้ำตาลขั้นสูง…ต้องไม่เกิน…110 มก./ดล.
ในคนที่น้ำหนักประมาณ 50 กก. จะมีเลือดไหลเวียนอยู่ในระบบหมุนเวียนโลหิตประมาณ 4,000 มล. หรือ 4 ลิตร ในเลือด 4 ลิตร ถ้ามีระดับน้ำตาล 70 มก./ดล. จะมีน้ำตาลอยู่เพียง 2,800 มิลลิกรัม เท่ากับ 2.8 กรัม ซึ่งเทียบเท่ากับน้ำตาลประมาณครึ่งช้อนชาเท่านั้นเอง (น้ำตาล 1 ช้อนชา เท่ากับน้ำตาล 5 กรัม)
ทำไมร่างกายจึงกำหนดให้มีน้ำตาลในกระแสเลือดน้อยมาก? ทั้ง ๆ ที่ร่างกายจะขาดน้ำตาลไม่ได้เลย ถ้าขาดจะตายทันที แล้วทำไมร่างกายจึงไม่เก็บน้ำตาลไว้ในกระแสเลือดมาก ๆ คำตอบ คือ ร่างกายมีระบบน้ำตาลสำรอง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า กลัยโคเจน ซึ่งน้ำตาลสำรองเกิดจากร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดที่มีมากเกิน ไปให้เป็นน้ำตาลสำรองเก็บไว้ในอวัยวะทุกส่วนทั่วร่างกาย มีเพียงอวัยวะเดียวที่ไม่มีน้ำตาลสำรองเลย คือ สมอง
น้ำตาลสำรองเป็นน้ำตาลเชิงซ้อนถูกจัดว่าเป็นแป้ง ถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำร่างกายจะละลายน้ำตาลสำรองเพื่อให้ได้น้ำตาล กลูโคส ให้อวัยวะที่เป็นเจ้าของน้ำตาลสำรองใช้ก่อน เมื่อมีน้ำตาลกลูโคสเหลือใช้จึงจะมาเพิ่มเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด เพื่อทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
เหตุผลที่สมองได้รับผลกระทบทันทีเมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมีค่าต่ำกว่า 70 มก./ดล. เพราะว่าสมองไม่มีน้ำตาลสำรองอยู่เลย เหตุผลที่ร่างกายไม่เก็บน้ำตาลสำรองไว้ในสมองเพราะธรรมชาติต้องการให้สมอง เป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่มีความไวสูง
น้ำตาล…มีแต่ประโยชน์…หรือมีโทษด้วย?
ถ้าน้ำตาลในกระแสเลือดอยู่ในระดับ 70-110 มก./ดล. จะมีแต่ประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้ามีระดับต่ำกว่านี้หรือสูงกว่านี้จะเกิดโทษต่อร่างกาย
ถ้าระดับ…น้ำตาลในกระแสเลือดระดับต่ำกว่า 70 มก./ดล.
จะมีผลกระทบต่อการทำงานของสมองทันที
ถ้าระดับยังเกิน 50 มก./ดล. สมองจะทำงานแปรปรวนมาก
ถ้าระดับต่ำกว่า 50 มก./ดล. สมองจะหยุดทำงานทันที
ถ้าทิ้งไว้นานสมองก็จะตาย ร่างกายจะเร่งแก้ไขโดยระดมละลายน้ำตาลสำรองจากทุกอวัยวะเพื่อยกระดับน้ำตาลในกระแสเลือดขึ้นมา
ถ้าระดับ…น้ำตาลในกระแสเลือดระดับสูงกว่า 110 มก./ดล.
- ร่างกายจะเร่งขับอินซูลินจากตับอ่อนออกมา เพื่อดึงน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์
- ถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดยังสูงเกินไป ร่างกายจะเร่งเปลี่ยนเป็นน้ำตาลสำรองเก็บไว้
- ถ้าน้ำตาลสำรองเต็มแล้ว ร่างกายจะเร่งให้เซลล์เผาผลาญน้ำตาลภายในเซลล์เป็นพลังงาน
- ถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดยังสูงเกินไปอีก ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลในกระแสเลือดเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์
เหตุผล คือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงเกินไปเป็นพิษต่อ
- ระบบเส้นเลือด
- ระบบเส้นประสาท
- ระบบการทำงานของอวัยวะทุกส่วน
- ระบบการทำลายสารพิษต่าง ๆ
- ระบบการสร้างสารสำคัญ ๆ ในร่างกาย
วิกฤตแรก คือ
ปัจจุบันคนไทยรับประทานน้ำตาลเกินกว่าธรรมชาติกำหนดหลายพันเปอร์เซนต์ และน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดแบบพรวดพลาด รวดเร็วมาก แถมยังซ้ำ ๆ ซาก ๆ ตลอดทั้งวัน
ธรรมชาติกำหนดให้มีจำนวนน้ำตาลที่ใช้หมุนเวียนในกระแสเลือดในปริมาณน้อย มาก คือ ประมาณครึ่งช้อนชา แต่ในปัจจุบันอาหารและเครื่องดื่มที่ขายในสังคมไทยเปลี่ยนไปจากอดีตอย่าง สิ้นเชิง เมื่อก่อนเราเคยแยกอาหารออกเป็น 2 ประเภท คือ อาหารคาวและอาหารหวาน แต่ในปัจจุบันเราเหลืออาหารอยู่ประเภทเดียวแล้ว คือ อาหารหวาน เพราะอาหารคาวเมื่อก่อนไม่มีการใส่น้ำตาลในการปรุง แต่ปัจจุบันอาหารคาวเกือบทุกชนิดใส่น้ำตาลในการปรุง
ตัวอย่างอาหารคาวที่มีการใส่น้ำตาลในการปรุง
ยำต่าง ๆ เกือบทุกชนิด ใส่น้ำตาล
ต้มยำต่าง ๆ เกือบทุกชนิด ใส่น้ำตาล
แกงส้มต่าง ๆ เกือบทุกชนิด ใส่น้ำตาล
น้ำพริกต่าง ๆ เกือบทุกชนิด ใส่น้ำตาล
บางคนผัดผัก..ยังมีการใส่น้ำตาล
บางคนกินก๋วยเตี๋ยว…เติมน้ำตาล 3 ช้อนใหญ่
ในปัจจุบันชนิดของอาหารที่มีการใส่น้ำตาลลงไป นอกจากมีหลากหลายมากขึ้นหลายเท่าตัว ยังมีการปรุงรสให้หวานมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพื่อเอาใจลูกค้าเพราะคนไทยติดความหวานมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งขนมไทย-ขนมฝรั่ง-คุกกี้-ไอศกรีม-ขนมเค้ก ขายดิบขายดีเพราะเพิ่มความหวาน
กลับมาที่ธรรมชาติกำหนดให้มีน้ำตาลในกระแสเลือด คือ ครึ่งช้อนชา เรามาดูจำนวนน้ำตาลในเครื่องดื่มยอดนิยม
- การชงกาแฟ 1 ถ้วย นิยมใส่น้ำตาล ประมาณ 2 ช้อนชา ซึ่งมีปริมาณ 4 เท่าของน้ำตาลในกระแสเลือด คิดเป็น% คือ 400%
- น้ำอัดลมขวดขนาดกลางใส่น้ำตาลประมาณ 6 ช้อนชา ซึ่งมีปริมาณ 12 เท่าของน้ำตาลในกระแสเลือด คิดเป็น% คือ 1,200%
- เครื่องดื่มชาเขียวขนาด 500 ซีซี ใส่น้ำตาลประมาณ 15 ช้อนชา ซึ่งมีปริมาณ 30 เท่าของน้ำตาลในกระแสเลือด คิดเป็น% คือ 3,000%
การรับประทาน ข้าว เผือก มัน เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ฯลฯ ร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อยแป้งในอาหารเหล่านี้เป็นเวลา 1-2 ชั่วโมง กว่าจะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล น้ำตาลจากการย่อยอาหารประเภทแป้งจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเริ่มดูดซึม เข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าเรารับประทานอาหารที่ใส่น้ำตาลร่างกายไม่ต้องใช้เวลาในการย่อยแป้ง เพื่อเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลที่เราใส่ในอาหารเข้าสู่กระแสเลือดได้เลย
ยิ่งเป็นน้ำตาลในเครื่องดื่ม น้ำตาลจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทันทีที่ดื่ม ถ้าเราดื่มชาเขียว 1 ขวด น้ำตาล 15 ช้อนชาจะทะลักเข้าสู่กระแสเลือดภายในเวลา 10 นาที
วิกฤตที่สอง คือ
น้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดแบบรวดเร็วมากเป็นอันตรายต่อร่างกายถึงขั้น วิกฤต เราพึ่งมาคิดคำนวณว่าน้ำตาลในกระแสเลือดมีกี่ช้อนชา เมื่อก่อนเรารู้ว่าน้ำตาลในกระแสเลือดระดับปกติ คือ 70-110 มก./ดล. แต่เรามองไม่เห็นภาพในเชิงปริมาณว่ามันมีกี่ช้อนชา นอกจากมองไม่เห็นภาพปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดมนุษย์ ก็ยังมองไม่เห็นภาพปริมาณน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มด้วย เพราะการแจ้งปริมาณน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มก็แจ้งเป็นเปอร์เซนต์ ทำให้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบในเชิงปริมาณได้
ทำให้มองไม่ออกว่า่น้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่มมันมีมากเป็นกี่เท่าของ ปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดของเรา ทำให้เรามองไม่เห็นพิษภัยของน้ำตาลที่ใส่อยู่ในอาหารและเครื่องดื่มแต่ละชนิด
วิกฤติที่สาม
ความจริงน้ำตาลมีธรรมชาติเหมือนกับเหล้า ถ้าเข้าสู่ร่างกายในปริมาณน้อย ๆ เข้าไปแบบช้า ๆ จะไม่เกิดพิษภัยเพราะร่างกายนำไปใช้ทัน ตับสามารถเปลี่ยนเป็นสารอย่างอื่นที่ร่างกายต้องการใช้ได้ทันlipo8
ถ้านำน้ำตาลมาหมัก น้ำตาลจะถูกเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ คนเราติดน้ำตาลแบบเดียวกับการติดเหล้าเพราะเป็นการเสพติดสารออลดีไฮด์ ซึ่งมีอยู่ในน้ำตาลและแอลกอฮอล์li
po8
มีการทดลองให้หนูรับประทานน้ำตาลจำนวนมาก หนูจะมีการเสพติดเหมือนการติดเหล้า เมื่อให้หนูหยุดรับประทานน้ำตาลแบบทันทีทันใด หนูจะมีอาการลงแดงเหมือนเหมือนการหยุดเหล้าlipo
8
น้ำตาลเป็นพิษภัยอย่างไรบ้าง?lipo8
แบ่งออกเป็น 5 ประการlipo8
1.การรับประทานน้ำตาลบ่อย ๆ จะทำให้เกิดภาวะระดับน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำlipo3
ความจริง คือ เมื่อเรารับประทานน้ำตาล ๆ จะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด ซึ่งการเพิ่มแบบพรวดพราดเป็นพิษต่อร่างกาย ร่างกายต้องรีบลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดลงแบบทันทีทันใด เช่นเดียวกัน โดยการเร่งระดม…lipo3
- การดึงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์lipo8
- การเผาผลาญน้ำตาลในเซลล์lipo8
- การเปลี่ยนน้ำตาลในกระแสเลือดเป็นน้ำตาลสำรองlipo8
- การเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดเป็นไตรกลีเซอไรด์lipo8
3
2.การรับประทานน้ำตาลทำให้ร่างกายขาดสารสำคัญ ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายlipo3
โดยปกติ…อาหารตามธรรมชาติทุกชนิด จะมีสารอาหารที่หลากหลายรวมกัน เช่น ข้าว แม้ถูกจัดกลุ่มให้อยู่ในพวกคาร์โบไฮเดรต แต่ข้าวก็ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญ ๆ หลากหลายชนิด ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ต่าง ๆ วิตามินต่าง ๆ ทำให้เราได้รับสารอาหารที่หลากหลาย แต่การรับประทานน้ำตาลเราจะได้รับเฉพาะคาร์โบไฮเดรต ไม่มีสารอาหารอย่างอื่นผสมอยู่เลยlipo3
3.การรับประทานน้ำตาล…ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ หลายโรค…lipo8
ตัวอย่างโรค…ที่เกิดจากการรับประทานน้ำตาล…จำนวนมาก…เช่นlipo8
- โรคอ้วน…
- โรคเบาหวาน…
- โรคความดันโลหิตสูง…
- โรคระดับไขมันในเลือดผิดปกติ…
- โรคมะเร็งต่าง ๆ หลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่…
- โรคกระดูกพรุน เพราะการรับประทานน้ำตาลมาก ทำให้ร่างกายขาดธาตุแมกนีเซียม ขาดวิตามินดี ขาดคอลลาเจน ทำให้สร้างมวลกระดูกไม่ได้lipo8
5.การรับประทานน้ำตาล…ทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง
น้ำตาลในกระแสเลือด…ที่มีระดับสูงขึ้นกว่าปกติจะมีผลทำให้เซลล์เม็ดเลือด ขาว ที-ลิมโฟไซด์ ที่มีหน้าที่คอยกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่าง ๆ เซลล์มะเร็งต่าง ๆ ด้อยประสิทธิภาพลง
การหยุดรับประทานน้ำตาล…ร่างกายจะขาดน้ำตาลหรือไม่…?
การที่เราไม่รับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาล จะไม่ทำให้ร่างกายเราขาดน้ำตาลอย่างแน่นอน เพราะ…
- ร่างกายเราสามารถสร้างน้ำตาลได้เอง โดยการเปลี่ยนโปรตีนหรือไขมันจากอาหารเป็นน้ำตาล
- ถึงแม้ไม่มีการรับประทานอาหารเลย ร่างกายก็สร้างน้ำตาลใช้ได้เองจากโปรตีนหรือไขมันภายในร่างกาย
- การรับประทานอาหารที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลเลย ในที่สุดร่างกายเราก็จะได้รับน้ำตาลจากอาหารนั้น อาจจะเป็นการได้รับโดยตรงจากน้ำตาลธรรมชาติในอาหาร หรือได้รับจากการย่อยแป้ง ไขมัน โปรตีน ในอาหารชนิดนั้น
ในผลไม้สด…มีทั้งน้ำตาลและแป้งเป็นแหล่งน้ำตาล
ในข้าว…มีแป้งเป็นแหล่งน้ำตาล
ในเนื้อสัตว์…มีแป้งในรูปไกลโคเจนเป็นแหล่งน้ำตาล มีไขมัน+โปรตีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้
ในไข่…มีแป้งในรูปไกลโคเจนเป็นแหล่งน้ำตาล มีไขมัน+โปรตีน ที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้
โดยสรุป เราไม่มีทางขาดน้ำตาลจากการหยุดรับประทานน้ำตาลเลย การรับประทานน้ำตาลทำให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดแบบพรวดพราดซึ่งเป็นโทษต่อ ร่างกาย
- ถ้าร่างกายได้รับน้ำตาลจากการย่อยอาหารตามธรรมชาติ จะเป็นน้ำตาลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
- ถ้าร่างกายได้รับน้ำตาลจากการรับประทานน้ำตาลโดยตรง จะเป็นโทษต่อร่างกาย
วิจัยพบ 30 ปี คนไทยกินน้ำตาลเพิ่มขึ้น 3 เท่า ครองแชมป์บริโภคน้ำตาลในกลุ่มอาเซียน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น