การเอาตัวรอดจากเปลวเพลิง


อย่าละเลยให้ความสำคัญเรื่องอัคคีภัย

อัคคีภัุยนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหตุเล็ก หรือเหตุใหญ่ สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว การที่ต้องพักในโรงแรม หรือตึกชั้นสูงๆ ควรที่จะศึกษาความรู้ทั่วไปใน guide book ก็จะเป็นประโยชน์ หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นซึ่งจะต้องใช้ทั้งความกล้าหาญ และทักษะความรู้ต่างๆ เพื่อแก้สถานการณ์เพื่อใช้สำหรับการเอาตัวรอด พึงระลึกอยู่ในความไม่ประมาท และเตรียมพร้อม
  • เมื่อเข้าอาศัยในอาคารใดก็ตาม พึงสำรวจอุปกรณ์เตือนภัย อุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ อุปกรณ์แจ้งเหตุฉุกเฉินว่าติดตั้งอยู่ที่ไหน หาทางหนีไว้ก่อน โดยตรวจสอบทางออกอย่างน้อย 2 ทาง บันไดหลัก บันไดหนีไฟ หน้าต่าง ระบบและอุปกรณ์ในการหนีไฟอื่น ๆ ว่าเป็นรูปแบบใด อยู่ที่ไหนและใช้อย่างไร
  • ควรฝึกซ้อมการหนีไฟด้วยตนเอง โดยให้หลับตาเพื่อจดจำตำแหน่งของกุญแจห้อง (นำกุญแจห้องพักติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ออกจากห้อง) ไฟฉาย หน้ากากกันควันอยู่ไหน ประตูเปิดอย่างไร ซ้อมให้ชำนาญ ถ้าเป็นอาคารที่อยู่ถาวรควรจัดให้มีการซ้อมหนีไฟ และกำหนดจุดนัดพบถาวรเอาไว้ด้วย
  • เมื่อพบเหตุไฟไหม้ ให้แจ้งเหตุโดยตะโกนบอกให้คนมาช่วย คุณต้องทราบว่าจะโทรศัพท์ไปแจ้งที่ไหน ในอาคารกดปุ่มสัญญาณเตือนภัยที่ไหน อย่างไร ก่อนที่จะเข้าทำการระงับเหตุ
  • รีบหนึให้เร็วอย่างปลอดภัย อย่าห่วงทรัพย์สิน ให้ห่วงชีวิต เดินชิดขวาเอาไว้แล้วไปที่จุดนัด
  • ปิดประตูหน้าต่างห้องที่เกิดเพลิงไหม้ให้สนิทที่สุดถ้าทำได้ เพื่อป้องกันการลุกลามและต้องแน่ใจว่าไม่มีใครติดอยู่ในนั้น
  • อย่าตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก พิจารณาหาทางออกอย่างปลอดภัย ใช้หลังมือสำรวจความร้อนของห้องที่จะออกไป และสังเกตว่ามีไฟไหม้อยู่หรือเปล่า ถ้ามีความร้อนอย่าเปิดประตู ให้เปิดหน้าต่าง หาทางส่งสัญญาณเรียกคนมาช่วย
  • พยายามทำให้คนข้างนอกรู้ว่า เราติดอยู่ในอาคาร ถ้าไฟลามมาถึงห้องเรา แล้วออกไปไม่ได้ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุดใต้ประตูหรือช่องโหว่ไม่ให้ควันเข้า ก่อนส่งสัญญาณทางหน้าต่างด้วยการโบกผ้าและตะโกน
  • ถ้าที่เกิดเหตุมีควัน ห้ามวิ่งออกไป เพราะว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตในกองเพลิง เกิดจากการสำลักควันและขาดอากาศหายใจ ซึ่งเป็นก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์และไอร้อน ดังนั้น วิธีหนึควันไฟ คือ คว่ำหน้าหมอบลงกับพื้นแล้วค่อย ๆ คืบคลานไปสู่ทางออก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำปิดปาก ปิดจมูกเพื่อป้องกันการสำลักควัน
  • ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องเปิดประตูห้องที่ไฟกำลังลุกท่วมนั้น หาผ้าหนา ๆ ชุบน้ำจับลูกบิดประตูและเปิดประตูเข้ามาหาตัวผู้เปิด โดยผู้เปิดยืนอยู่หลังประตู เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟที่ลามออกมาเผาตัวผู้เปิด
  • ต้องดับเพลิงในอาคารสูงด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงของอาคาร ของตนเองให้ได้ภายในระยะเพลิงเริ่มไหม้ใน 2 นาทีแรกอย่ามัวแต่รอความช่วยเหลือจากพนักงานดับเพลิง
  • อย่าใช้ลิฟต์หนีไฟ ให้หนีลงมาโดยเร็วโดยบันไดหนีไฟทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งแจ้งเหตุเพลิงไหม้ภายในอาคาร
  • หากติดอยู่ในกลุ่มควันไฟ ให้ก้มตัวให้ต่ำหรือหมอบคลานเพื่อหาทางออก ควันไฟทำให้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตมากกว่าเปลวไฟถึง 3 เท่าตัว
  • ก่อนเปิดประตูให้แตะหรือคลำลูกบิด หากร้อนจัดแสดงว่ามีไฟอยู่ด้านนอก อย่าเปิดประตู เพราะไฟจะพุ่งเข้าตัวได้
  • กรณีหนีไฟไม่ได้ให้อยู่ในห้องพักและปิดประตู ใช้ผ้าชุบน้ำอุด บริเวณขอบบานประตู แล้วให้ขอความช่วยเหลือที่หน้าต่างหรือระเบียง
  • แนะนำทุกคนในครอบครัวให้ทราบถึงกฎความปลอดภัย และวิธีปฏิบัติตัวกรณีเกิดเพลิงไหม้
  • ไฟไหม้ในอาคารสูงเกิดขึ้นเป็นประจำ และเกิดขึ้นบ่อย แต่ที่ไม่เป็นข่าวเพราะผู้อาศัย และเจ้าหน้าที่อาคารช่วยกันได้ก่อนลุกลาม ทุกคนที่อาศัยในอาคารสูงทุกอาคารจึงต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา แล้วจะมีความปลอดภัยได้แน่นอน
การเผาไหม้ของไฟนั้นเกิดได้ด้วยองค์ประกอบ 3 อย่างคือ เชื้อเพลิง ความร้อนและออกซิเจน ซึ่งถ้าขาดสิ่งใดไป ไฟก็ไม่สามารถเผาต่อไปได้ ดังนั้นหลักการสำคัญที่ใช้ในการดับไฟ คือการจำกัดองค์ประกอบของการเกิดไฟนั่นเอง หากเราเข้าใจการพัฒนาของไฟที่ลุกไหม้ภายในอาคารซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 4 ช่วงด้วยกัน
  1. ช่วงแรก คือช่วงที่ไฟเพิ่งเริ่มลุกไหม้ ในห้องจะยังมีความร้อนไม่มาก และมีกลุ่มควันเบาบาง เมื่อไฟเผาไหม้ต่อไปจนอุณหภูมิในห้องสูงถึง 100 องศาเซลเซียสจะเริ่มเข้าสู่ไฟช่วงที่ 2
  2. ช่วงที่ 2 กลุ่มควันจะหนาแน่นและลอยตัวขึ้นด้านบน อุณหภูมิในห้องจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปจนถึง 800 องศาเซลเซียส ซึ่งในจุดนี้จะเห็นเปลวไฟขนาดเล็ก ลอยม้วนตัวแฝงมากับกลุ่มควันบนเพดานห้อง เรียกว่า แฟลชโอเวอร์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตราย บ่งบอกว่าไฟกำลังจะเข้าสู่ช่วงที่ 3
  3. ไฟช่วงที่ 3 จะเป็นช่วงที่รุนแรงที่สุด เพราะจะเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยเปลวไฟขนาดใหญ่ ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของไฟคือไฟสงบลง ท่ามกลางกองเถ้าถ่าน
แผนหนีไฟช่วยชีวิต source: รายการกบนอกกะลา ,สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น